Cognizant จับมือ Nvidia เร่งปฏิรูป AI องค์กร

ในภูมิทัศน์ของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างขีดความสามารถขององค์กรในอนาคต พัฒนาการที่สำคัญในด้านนี้คือความร่วมมือที่เพิ่งประกาศระหว่าง Cognizant ยักษ์ใหญ่ด้านการให้คำปรึกษาเทคโนโลยีระดับโลก และ Nvidia ผู้นำด้านการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว (accelerated computing) ที่ไม่มีใครโต้แย้งได้ การเป็นพันธมิตรครั้งนี้ไม่ใช่แค่การจับมือกันเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความพยายามร่วมกันในการฝังเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยของ Nvidia เข้าไปในโครงสร้างการดำเนินงานของธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ อย่างลึกซึ้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดระยะเวลาในการนำ AI มาใช้และการรับรู้ถึงคุณค่าอย่างมาก

ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์: ก้าวข้ามการทดลอง AI

เป็นเวลาหลายปีที่ธุรกิจต่างๆ ได้ลองใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยมักจำกัดโครงการริเริ่มไว้ที่โครงการนำร่อง (pilot projects) หรือการพิสูจน์แนวคิด (proofs of concept) ที่แยกส่วนกัน แม้ว่าจะมีคุณค่าสำหรับการเรียนรู้ แต่การทดลองเหล่านี้มักประสบปัญหาเมื่อต้องเผชิญกับความซับซ้อนของการขยายขนาดทั่วทั้งองค์กร การผสานรวม AI เข้ากับเวิร์กโฟลว์ที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น การรับรองความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล การจัดการโมเดลที่ซับซ้อน และการแสดงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่จับต้องได้ ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความท้าทายที่น่าเกรงขาม ขณะนี้ตลาดกำลังเรียกร้องหาเส้นทางที่ชัดเจนจากการทดลองไปสู่การนำไปใช้งานขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า

นี่คือจุดที่ความร่วมมือระหว่าง Cognizant และ Nvidia พยายามสร้างความแตกต่าง Cognizant ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้งและความสัมพันธ์กับลูกค้าที่กว้างขวาง เข้าใจถึงอุปสรรคในทางปฏิบัติที่ธุรกิจต้องเผชิญ ในทางกลับกัน Nvidia มอบเครื่องมือประมวลผลอันทรงพลังและเฟรมเวิร์กซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างและปรับใช้โซลูชัน AI ที่แข็งแกร่ง ด้วยการรวมความสามารถในการผสานรวมและความรู้ในอุตสาหกรรมของ Cognizant เข้ากับแพลตฟอร์ม AI แบบครบวงจร (full-stack AI platform) ของ Nvidia ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเส้นทางที่คล่องตัว มีประสิทธิภาพ และปรับขนาดได้มากขึ้นสำหรับองค์กรที่กระตือรือร้นที่จะควบคุมพลังการเปลี่ยนแปลงของ AI วัตถุประสงค์หลักนั้นชัดเจน: ย้าย AI จากห้องปฏิบัติการไปยังแกนกลางของธุรกิจ เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการจัดหาเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการออกแบบโซลูชันแบบ end-to-end ที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของอุตสาหกรรม และการผสานรวมเข้ากับระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขององค์กรสมัยใหม่

แกะกล่องคลังแสงเทคโนโลยี: Full Stack ของ Nvidia พบกับระบบนิเวศของ Cognizant

หัวใจสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้คือการผสานรวมชุดเทคโนโลยี AI ที่ครอบคลุมของ Nvidia เข้ากับแพลตฟอร์ม AI และข้อเสนอบริการที่มีอยู่ของ Cognizant นี่ไม่ใช่แค่การใช้ GPU อันโด่งดังของ Nvidia เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงสเปกตรัมที่กว้างขึ้นมากของซอฟต์แวร์ เฟรมเวิร์ก และโมเดลที่สร้างไว้ล่วงหน้าซึ่งออกแบบมาเพื่อเร่งการพัฒนาและการปรับใช้ ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่:

  • Nvidia NIM (Nvidia Inference Microservices): ลองนึกถึง NIM ว่าเป็นคอนเทนเนอร์ที่ปรับให้เหมาะสมและบรรจุไว้ล่วงหน้าซึ่งส่งมอบโมเดล AI เป็นไมโครเซอร์วิส (microservices) แนวทางนี้ช่วยลดความซับซ้อนในการปรับใช้โมเดลที่ซับซ้อน ทำให้นักพัฒนาสามารถรวมความสามารถ AI อันทรงพลัง เช่น การเข้าใจภาษาหรือการจดจำภาพ เข้ากับแอปพลิเคชันของตนได้ง่ายขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญเชิงลึกในการปรับให้เหมาะสมกับโมเดล สำหรับลูกค้าของ Cognizant สิ่งนี้หมายถึงวงจรการปรับใช้ที่เร็วขึ้นและการจัดการฟังก์ชัน AI ภายในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีอยู่ได้ง่ายขึ้น ไมโครเซอร์วิสเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานบนแพลตฟอร์มที่เร่งความเร็วด้วย Nvidia ที่หลากหลาย มอบความยืดหยุ่นตั้งแต่คลาวด์ไปจนถึงเอดจ์ (edge)
  • Nvidia NeMo: นี่คือแพลตฟอร์มแบบ end-to-end ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการพัฒนาโมเดล generative AI แบบกำหนดเอง ในยุคที่โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ทั่วไปอาจไม่เพียงพอสำหรับงานเฉพาะทางในอุตสาหกรรม NeMo มีเครื่องมือสำหรับการดูแลจัดการข้อมูล (data curation) การฝึกอบรมโมเดล การปรับแต่ง และการประเมินผล Cognizant สามารถใช้ประโยชน์จาก NeMo เพื่อสร้าง LLMs เฉพาะอุตสาหกรรมที่ปรับให้เข้ากับคำศัพท์เฉพาะ กฎระเบียบ และเวิร์กโฟลว์ของภาคส่วนต่างๆ เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ หรือการผลิต โดยนำเสนอโซลูชัน AI ที่มีความเกี่ยวข้องและแม่นยำสูงแก่ลูกค้า
  • Nvidia Omniverse: แพลตฟอร์มอันทรงพลังสำหรับการพัฒนาและดำเนินการจำลอง 3 มิติและโลกเสมือนจริง ซึ่งมักเรียกว่า digital twins สำหรับอุตสาหกรรม ด้วยการสร้างแบบจำลองเสมือนจริงที่แม่นยำทางกายภาพของโรงงาน คลังสินค้า หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ ธุรกิจต่างๆ สามารถจำลองกระบวนการ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทดสอบการเปลี่ยนแปลง และฝึกอบรมบุคลากรในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความเสี่ยงก่อนที่จะนำไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง Cognizant ตั้งใจที่จะใช้ Omniverse เพื่อปรับปรุงข้อเสนอในการผลิตอัจฉริยะ (smart manufacturing) และการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน (supply chain optimization) ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพและปรับปรุงการดำเนินงานทางกายภาพที่ซับซ้อนได้
  • Nvidia RAPIDS: ชุดไลบรารีซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สและ APIs ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการทำงานของ data science และ analytics pipelines ทั้งหมดบน GPU การประมวลผลข้อมูลแบบดั้งเดิมมักเกิดปัญหาคอขวดที่ระดับ CPU RAPIDS ช่วยให้สามารถเร่งความเร็วในการโหลดข้อมูล การจัดการ และการฝึกอบรมโมเดลได้อย่างมหาศาล ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกจากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้เร็วขึ้น การผสานรวมนี้จะช่วยเสริมความสามารถของ Cognizant ในการจัดการกับความต้องการข้อมูลมหาศาลที่มีอยู่ในแอปพลิเคชัน AI ระดับองค์กร
  • Nvidia Riva: มุ่งเน้นไปที่ conversational AI โดย Riva มีเครื่องมือสำหรับสร้างแอปพลิเคชันประสิทธิภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับการรู้จำเสียงอัตโนมัติ (ASR) และการแปลงข้อความเป็นคำพูด (TTS) สิ่งนี้ช่วยให้สามารถพัฒนาอินเทอร์เฟซที่ใช้เสียง แชทบอท และผู้ช่วยเสมือนที่ซับซ้อนและตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับปรุงการบริการลูกค้าและเครื่องมือสื่อสารภายใน
  • Nvidia Blueprints: สิ่งเหล่านี้ให้สถาปัตยกรรมอ้างอิง (reference architectures) และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างระบบ AI ที่ซับซ้อน รวมถึงการตั้งค่าแบบ multi-agent พวกเขาเสนอจุดเริ่มต้นที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว ลดเวลาในการพัฒนาและความเสี่ยงเมื่อสร้างโซลูชัน AI ที่ซับซ้อน

ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยี Nvidia ที่หลากหลายเหล่านี้เข้ากับแพลตฟอร์ม Neuro AI ของตน Cognizant มีเป้าหมายที่จะสร้างระบบนิเวศที่เหนียวแน่นและทรงพลังสำหรับการสร้าง ปรับใช้ และจัดการโซลูชัน AI ระดับองค์กร

แพลตฟอร์ม Neuro AI ของ Cognizant และการเพิ่มขึ้นของระบบ Multi-Agent

หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ของ Cognizant ภายใต้ความร่วมมือนี้คือแพลตฟอร์ม Neuro AI ซึ่งถูกมองว่าเป็นชุดเครื่องมือที่ครอบคลุมสำหรับการพัฒนาและปรับใช้ AI ระดับองค์กร การปรับปรุงที่สำคัญที่เน้นคือ Neuro AI Multi-Agent Accelerator ซึ่งได้รับการส่งเสริมอย่างมีนัยสำคัญโดย Nvidia NIM microservices ตัวเร่งนี้มุ่งเน้นไปที่การเปิดใช้งานการสร้างและการปรับขนาด ระบบ AI แบบ multi-agent อย่างรวดเร็ว

ระบบ multi-agent คืออะไร? แทนที่จะอาศัยโมเดล AI แบบ monolithic เพียงตัวเดียว ระบบ multi-agent ใช้ agent AI เฉพาะทางหลายตัวที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ซับซ้อน agent แต่ละตัวอาจมีทักษะเฉพาะตัว เข้าถึงแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน หรือทำงานย่อยเฉพาะอย่าง ตัวอย่างเช่น ในการประมวลผลการเคลมประกัน:

  1. agent หนึ่งอาจเชี่ยวชาญในการดึงข้อมูลจากแบบฟอร์มการเคลม (โดยใช้ OCR และ NLP)
  2. agent อีกตัวอาจตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์กับฐานข้อมูล
  3. agent ตัวที่สามอาจประเมินการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้นโดยการวิเคราะห์รูปแบบ
  4. agent ตัวที่สี่อาจโต้ตอบกับแหล่งข้อมูลภายนอก (เช่น รายงานสภาพอากาศสำหรับการเคลมทรัพย์สิน)
  5. agent ผู้ประสานงานอาจควบคุมเวิร์กโฟลว์ สังเคราะห์ผลการค้นพบ และนำเสนอข้อเสนอแนะ

พลังของแนวทางนี้อยู่ที่ ความเป็นโมดูล (modularity) ความสามารถในการปรับขนาด (scalability) และความสามารถในการปรับตัว (adaptability) ระบบสามารถอัปเดตได้ง่ายขึ้นโดยการปรับปรุง agent แต่ละตัว และปัญหาที่ซับซ้อนสามารถแบ่งออกเป็นส่วนๆ ที่จัดการได้ Cognizant เน้นย้ำว่าแพลตฟอร์มของตน ซึ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของ Nvidia เช่น NIM สำหรับการปรับใช้ agent ที่มีประสิทธิภาพ และอาจรวมถึง Riva สำหรับการสื่อสารระหว่าง agent จะช่วยให้สามารถผสานรวมได้อย่างราบรื่นไม่เพียงแต่ระหว่าง agent ของตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครือข่าย agent ของบุคคลที่สามและ LLMs ต่างๆ ด้วย ความยืดหยุ่นนี้มีความสำคัญ เนื่องจากองค์กรมักมีการลงทุน AI ที่มีอยู่แล้วหรือต้องการโมเดลเฉพาะ

นอกจากนี้ Cognizant ยังเน้นย้ำถึงการรวม มาตรการป้องกันความปลอดภัย (security guardrails) และกลไกสำหรับ การกำกับดูแลโดยมนุษย์ (human oversight) ภายในระบบ multi-agent เหล่านี้ สิ่งนี้ตอบสนองข้อกังวลที่สำคัญขององค์กรเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ ความรับผิดชอบ และการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม เป้าหมายคือการสร้างระบบที่เสริมขีดความสามารถของมนุษย์ ทำให้กระบวนการที่ซับซ้อนเป็นไปโดยอัตโนมัติอย่างน่าเชื่อถือ และเปิดใช้งานการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่ปรับตัวและตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม: ห้าเสาหลักแห่งนวัตกรรม

Cognizant ได้ระบุอย่างชัดเจนถึงห้าด้านหลักที่ความร่วมมือกับ Nvidia จะมุ่งเน้นในเบื้องต้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งมอบคุณค่าและนวัตกรรมที่จับต้องได้:

  1. Enterprise AI Agents: ก้าวไปไกลกว่าแชทบอทธรรมดา สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนา agent ที่ซับซ้อนซึ่งสามารถจัดการงานที่ซับซ้อนทั้งภายในและภายนอกได้ ลองนึกภาพ agent AI ที่ทำให้กระบวนการ back-office ที่ซับซ้อนเป็นไปโดยอัตโนมัติ ให้การสนับสนุนลูกค้าที่เป็นส่วนตัวสูงโดยการเข้าถึงและสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายระบบ หรือระบุปัญหาการดำเนินงานเชิงรุกก่อนที่จะบานปลาย ด้วยพลังจากความสามารถในการอนุมาน (inference) ของ Nvidia (NIM) และเครื่องมือ conversational AI (Riva) agent เหล่านี้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญและปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้
  2. Industry-Specific Large Language Models (LLMs): LLMs ทั่วไปมักขาดความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนซึ่งจำเป็นสำหรับสาขาเฉพาะทาง ด้วยการใช้ประโยชน์จาก Nvidia NeMo Cognizant วางแผนที่จะพัฒนา LLMs ที่ฝึกฝนบนข้อมูลเฉพาะโดเมนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ (การทำความเข้าใจคำศัพท์และระเบียบการทางการแพทย์) การเงิน (การเข้าใจเครื่องมือทางการเงินและกฎระเบียบที่ซับซ้อน) หรือบริการทางกฎหมาย (การนำทางใน判例法และสัญญา) โมเดลเฉพาะทางเหล่านี้จะให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับข้อกำหนดมากขึ้นสำหรับฟังก์ชันทางธุรกิจที่สำคัญ
  3. Digital Twins for Smart Manufacturing: ด้วยการใช้ Nvidia Omniverse Cognizant มีเป้าหมายที่จะช่วยให้ผู้ผลิตสร้างแบบจำลองเสมือนจริงที่มีรายละเอียดสูงและแม่นยำทางกายภาพของสายการผลิตหรือโรงงานทั้งหมดของตน digital twins เหล่านี้สามารถใช้สำหรับการจำลองสถานการณ์การผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพผังโรงงาน การคาดการณ์ความต้องการในการบำรุงรักษา การฝึกอบรมหุ่นยนต์ และการทดสอบการเปลี่ยนแปลงกระบวนการในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งนำไปสู่การลดเวลาหยุดทำงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพ และวงจรนวัตกรรมที่เร็วขึ้นในโลกทางกายภาพ
  4. Foundational Infrastructure for AI: การสร้างและปรับขนาด AI ต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและปรับให้เหมาะสม Cognizant จะใช้ประโยชน์จาก full stack ของ Nvidia ตั้งแต่ GPU ไปจนถึงระบบเครือข่าย (เช่น NVLink และ InfiniBand แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจนในแหล่งข้อมูล แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของ stack ทั่วไปของ Nvidia) และแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์เช่น RAPIDS เพื่อออกแบบและนำไปใช้สภาพแวดล้อมการประมวลผลประสิทธิภาพสูงที่ปรับขนาดได้ซึ่งปรับให้เหมาะกับเวิร์กโหลด AI ที่ต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ในองค์กร (on-premises) ในคลาวด์ หรือที่เอดจ์
  5. Enhancing the Neuro AI Platform: ความร่วมมือนี้จะผสานรวมความก้าวหน้าล่าสุดของ Nvidia เข้ากับแพลตฟอร์ม Neuro AI ทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการรวมเครื่องมือสำหรับการพัฒนาโมเดลที่ง่ายขึ้น การปรับใช้ (NIM) การประมวลผลข้อมูล (RAPIDS) การจำลอง (Omniverse) และ conversational AI (Riva) เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าของ Cognizant สามารถเข้าถึงสภาพแวดล้อมการพัฒนาและการดำเนินงาน AI แบบ end-to-end ที่ล้ำสมัย

การนำทางจาก Pilot สู่ Production: การจัดการกับความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริง

Annadurai Elango ประธานฝ่าย Core Technologies and Insights ของ Cognizant ได้สรุปความรู้สึกของตลาดในปัจจุบันไว้อย่างเหมาะสม: ‘เรายังคงเห็นธุรกิจต่างๆ กำลังนำทางในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการพิสูจน์แนวคิดไปสู่การนำ AI ระดับองค์กรไปใช้งานในวงกว้างขึ้น’ การเปลี่ยนแปลงนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย – ความซับซ้อนทางเทคนิค อุปสรรคในการผสานรวม การขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ ปัญหาความพร้อมของข้อมูล และความจำเป็นในการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าทางธุรกิจที่ชัดเจน

ความร่วมมือระหว่าง Cognizant และ Nvidia ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้ ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่ผสานรวมไว้ล่วงหน้า การใช้ประโยชน์จากไมโครเซอร์วิสที่ปรับให้เหมาะสม (NIM) การนำเสนอแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาโมเดลแบบกำหนดเอง (NeMo) และการสร้างสถาปัตยกรรมอ้างอิง (Blueprints) ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อ ลดแรงเสียดทาน ที่เกี่ยวข้องกับการปรับขนาด AI อย่างมีนัยสำคัญ

  • Accelerated Deployment: NIM microservices ช่วยให้สามารถปรับใช้ฟังก์ชันการทำงานได้เร็วกว่าการสร้างและปรับให้เหมาะสมกับโมเดลตั้งแต่เริ่มต้น
  • Scalability: ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ Nvidia ได้รับการออกแบบมาสำหรับขนาดใหญ่ ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลของ AI ทั่วทั้งองค์กร
  • Customization: เครื่องมืออย่าง NeMo ช่วยให้สามารถสร้างโซลูชันที่ปรับแต่งได้ซึ่งมอบคุณค่าที่สูงกว่าโมเดลทั่วไป
  • Integration: ความเชี่ยวชาญของ Cognizant อยู่ที่การผสานรวมเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ากับระบบองค์กรที่มีอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่า AI จะไม่ทำงานแยกส่วน
  • Risk Reduction: การใช้สถาปัตยกรรมที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว (Blueprints) และการมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยและการกำกับดูแลช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปรับใช้เทคโนโลยี AI อันทรงพลัง

กรณีการใช้งานเฉพาะอุตสาหกรรมที่กล่าวถึง – การประมวลผลการเคลมประกันอัตโนมัติ การจัดการการอุทธรณ์และข้อร้องเรียน และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน – ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างเบื้องต้น ในด้านการประกันภัย ระบบ multi-agent สามารถลดรอบเวลาการเคลมได้อย่างมากในขณะที่ปรับปรุงการตรวจจับการฉ้อโกง ในการบริหารจัดการด้านการดูแลสุขภาพ การทำให้การอุทธรณ์และข้อร้องเรียนเป็นไปโดยอัตโนมัติสามารถลดภาระงานที่ค้างอยู่จำนวนมากและปรับปรุงความพึงพอใจของผู้ป่วยได้ ในห่วงโซ่อุปทาน การรวม digital twins (Omniverse) เข้ากับการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (RAPIDS) และ agent อัจฉริยะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ คาดการณ์การหยุดชะงัก และปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ อย่างไรก็ตาม การใช้งานที่เป็นไปได้นั้นขยายไปสู่เกือบทุกอุตสาหกรรมที่เต็มใจที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

ดังนั้น พันธมิตรเชิงกลยุทธ์นี้จึงเป็นมากกว่าแค่การผสานรวมทางเทคโนโลยี แต่เป็นความพยายามร่วมกันในการจัดหาเครื่องมือ ความเชี่ยวชาญ และแผนงานที่จำเป็นให้กับธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อน AI จากขอบนอกไปสู่แกนกลางของการดำเนินงานได้อย่างมั่นใจ ปลดล็อกคุณค่าที่จับต้องได้และความได้เปรียบทางการแข่งขันในโลกที่ชาญฉลาดขึ้นเรื่อยๆ จุดมุ่งเน้นอยู่ที่การช่วยให้ลูกค้า ‘ปรับขนาดคุณค่า AI ได้เร็วขึ้น’ เปลี่ยนแนวคิดที่ทะเยอทะยานให้กลายเป็นความจริงในการดำเนินงาน